นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่มีการเลื่อนประชุมจากวันที่ 18 ตุลาคม 2566 โดยนายจุลพันธ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือกันในหลายประเด็นซึ่งมีเรื่องที่ได้ข้อสรุป และยังไม่ได้ข้อสรุป โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการที่อาจจะมีการตัดกลุ่มคนรวยออกโดยเบื้องต้นมีข้อเสนอ 3 แนวทาง ดังนี้

            1.) ตัดกลุ่มที่มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และหรือมีเงินฝากบัญชี เกิน 100,000 บาท จะเหลือคนที่เข้าร่วมโครงการ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 430,000 ล้านบาท

            2) ตัดกลุ่มรายได้เกิน 50,000 บาทต่อเดือน และหรือมีเงินฝากบัญชี เกิน 500,000 บาทจะเหลือคนที่เข้าร่วมโครงการ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณ 490,000 ล้านบาท

            3) ให้เฉพาะกลุ่มยากไร้ 15-16 ล้านคน ใช้งบประมาณ 160,000 ล้านบาท

            รัศมีในการใช้จ่าย คณะอนุกรรมการได้มีข้อสรุปว่าจะใช้จ่ายในรัศมีระดับอำเภอ ซึ่งมีพื้นที่ ไม่ใหญ่ไป และมีร้านค้าใช้จ่าย

            ส่วนเงื่อนไขในการขึ้นเงินจะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี 3 ประเภท ได้แก่ภาษี VAT, ภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

            ส่วนแหล่งที่มางบประมาณ ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมีหลายทางเลือก แต่โจทย์ของการคิดนโยบายจะใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณ

            สำหรับผู้ดำเนินการระบบในโครงการนั้น ได้มอบหมายให้สมาคมธนาคารของรัฐไปดำเนินการพิจารณาในรายละเอียด ได้ข้อสรุปว่าจะมอบหมายให้กับธนาคารกรุงไทยเป็นผู้พัฒนาระบบ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อม และมีประสบการณ์ในการพัฒนา Application ของรัฐ ส่วนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ ยืนยันว่าไม่ใช่ตัวเลข 12,000 ล้านบาท

รมช.คลัง กล่าวว่า ผลจากการประชุมของคณะอนุกรรมการ ทั้งในประเด็นที่ได้ข้อสรุปและยังไม่ได้ข้อสรุปทั้งหมดจะส่งให้คณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาตัดสินใจ คาดว่าจะมีการนัดประชุมในสัปดาห์หน้า

            นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า จะต้องมีการปรับเงื่อนไขในส่วนของคนรวยเป็นอย่างไร ใครจะบอกว่าคนรวยคือคนรวย ใช่หรือไม่ ซึ่งรับฟังอยู่แล้วว่าต้องมีการปรับตรงนี้ กำลังหาคำจำกัดความที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายว่าคนรวยคืออะไร พร้อมน้อมรับคำแนะนำจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว ว่าควรที่จะเจาะจงมากขึ้น บางภาคส่วนที่ไม่เดือดร้อนอาจไม่ต้องรับ ซึ่งรับฟังอยู่

            สำหรับเรื่องข้อเสนอที่ขอให้รัฐบาลทบทวนการจ่ายเงินเป็น 3 งวดแทนงวดเดียว จะนำมาพิจารณาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้พิจารณาคงจ่ายรวดเดียว เพราะอยากให้กระตุ้นเศรษฐกิจทีเดียว และเม็ดเงินมันใหญ่ จะได้ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน.

Cr.สำนักประชาสัมพันธ์เขต2