DTI ส่งมอบ D11A รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ ให้กองพลทหารปืนใหญ่ เสริมขีดความสามารถให้กับกองทัพไทย
13 พฤศจิกายน 2568 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) จัดพิธีส่งมอบ รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A ให้กับกองพลทหารปืนใหญ่ กองทัพบก เพื่อใช้งานในราชการ โดยมี พลเอก ดร.ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์ เป็นผู้ส่งมอบ ให้กับ พลเอก อานุภาพ ศิริมณฑล หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา เป็นผู้รับมอบ โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก นภนต์ สร้างสมวงษ์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พร้อมด้วยผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการส่งมอบครั้งนี้ สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรต่างประเทศที่ผลักดันเทคโนโลยีป้องกันประเทศของไทยจากการวิจัยสู่การใช้งานได้จริงในภาคสนาม
รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักย์สงครามในการรบของกองทัพ เป็นอาวุธระยะยิงไกล และสนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ของกองทัพบกได้ทั้งในระดับยุทธวิธี ยุทธการ และยุทธศาสตร์ ซึ่งสามารถยิงตอบโต้ทางลึกได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นของ D11A ที่มีความแม่นยำสูง ยืดหยุ่นและปรับใช้งานง่าย สามารถปรับเข้ากับระบบอาวุธเดิมของ ทบ. และต่อยอดร่วมกับ UAV, C4ISR หรือระบบอื่นๆ ได้ ช่วยลดความเสี่ยงต่อกำลังพลจำนวนมากเพราะใช้กำลังพลในการควบคุมน้อย ระบบยิงอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำในการยิง และที่สำคัญได้รับการรับรองมาตรฐานผลงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารของกองทัพบก พร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์
ผลงานวิจัยและพัฒนารถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A เกิดจากความร่วมมือระหว่างกองทัพบก สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และ Elbit Systems ประเทศอิสราเอล โดยทั้งสามหน่วยงานได้ร่วมกันนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีและระบบยิงจรวดอัตโนมัติมาพัฒนาในประเทศ ตั้งแต่กระบวนการวิจัยและพัฒนา การประกอบและการปรับแต่งระบบให้เข้ากับยุทโธปกรณ์เดิมของกองทัพบก ไปจนถึงการทดสอบและการฝึกใช้งานจริง
การส่งมอบรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A ถือเป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ของไทย สะท้อนถึงศักยภาพทั้งในเชิงยุทธศาสตร์ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และการต่อยอดสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับกองทัพไทย เพิ่มศักยภาพด้านความมั่นคงของชาติ และมีแนวโน้มที่จะเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ป้องกันประเทศที่สามารถ “ผลิตในไทย ใช้งานในไทย และส่งออกได้จริง”
นับเป็นก้าวที่สำคัญที่ตอกย้ำความพร้อมของประเทศไทยในการพึ่งพาตนเองด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป