“ศุภจี” เร่งผลักดันส่งออก เจาะตลาดใหม่ ธงฟ้าลดค่าครองชีพ 14 ต.ค. 68 เปิดลงทะเบียน “ร้านยา สุขกาย สบายกระเป๋า”

   เมื่อ : 13 ต.ค. 2568

            นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เร่งขับเคลื่อน 7 นโยบายสำคัญ ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่การลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน เช่น โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ประชาชนทราบราคายา ซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ เริ่ม 28 ตุลาคม 2568 และ “มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ” ไปจนถึงการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรการผลักดันการส่งออก การเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs สินค้า GI เร่งเดินหน้าเจรจา FTA เพื่อขยายตลาดใหม่ การหามาตรการรับมือภาษีสหรัฐฯ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และการส่งเสริมการค้าชายแดน การนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ยกระดับบริการประชาชน โดยทั้งหมดมุ่งดูแลประชาชนทุกกลุ่ม สนับสนุนผู้ประกอบการ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ สร้างโอกาสทางการค้าในระดับสากล และลดค่าครองชีพให้กับประชาชน 

 

  • รายละเอียด

            จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการต้องวางรากฐานของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อ “การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย” ให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เพิ่มความร่วมมือการค้า-การลงทุน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนนั้น

             นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงได้เร่งขับเคลื่อน 7 นโยบายสำคัญ “Quick Big Win” ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ใน 7 เรื่องหลัก ดังนี้

            1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า

- เร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐอเมริกา ภายในเดือนธันวาคม 2568

- ส่งเสริมการส่งออกเฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้างไทย ไปยังประเทศอินเดียเพื่อรับมือมาตรการภาษีทรัมป์

- จับมือสภาหอการค้าไทย ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน รับมือมาตรการภาษีสหรัฐฯ ดัน FTA – เปิดตลาดอินเดีย – ดูแลสินค้าเกษตร และเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการชายแดน 

            2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา

            ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบทั้งการจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาทต่อชิ้นร่วมกับไปรษณีย์ไทย

เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย การเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และการเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดประสานงานใกล้ชิดกับประชาชน

            3. FTA และบุกตลาดใหม่

            ไทยมี FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ  ได้แก่ FTA ไทย–เอฟตา ให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีแรก ปี 2569 FTA ไทย–อียู ให้ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาสแรกปี 2569 FTA ไทย–เกาหลีใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2568 จะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลก หาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยเน้นการจับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย และจัดกิจกรรมเจรจาการค้ารูปแบบใหม่

- กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เดินหน้าเจรจา FTA ไทย-EU และ ไทย-เกาหลีใต้ พร้อมเร่งFTA ไทย-EFTA ให้มีผลใช้บังคับครึ่งปีแรก ปี 2569 

- กรมการค้าต่างประเทศ เร่งส่งเสริมสินค้ามันสำปะหลังไทยไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เน้นเจาะตลาดญี่ปุ่น 

- กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) นำทัพผู้ประกอบการไทย 114 บริษัท เปิดตัวอาหารและเครื่องดื่มไทยสู่เวทีโลก ในงาน ANUGA 2025 ที่เมืองโคโลญ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 

- เดินหน้ากระชับความร่วมมือการค้า-การลงทุนไทย-ออสเตรเลีย

            4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน

- เดินหน้าจัด “มหกรรมธงฟ้าทั่วประเทศ 1,300 ครั้งต่อปี” ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี

- โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ประชาชนทราบราคายา ซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ เริ่ม 28 ตุลาคม 2568

- กรมการค้าภายใน จับมือร่วมสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ ร่วมจำหน่ายเนื้อสุกรคุณภาพ จัดจำหน่ายเนื้อหมูคุณภาพดี 2 กิโลกรัม ราคาเพียง 100 บาท เริ่มจำหน่ายที่งานธงฟ้า และกระจายทั่วประเทศตลอดเดือนตุลาคมนี้

            5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร

- โดยเฉพาะ ข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตกว่า 21.8 ล้านตัน และมีสต๊อกกว่า 3.5 ล้านตัน กระทรวงจะใช้มาตรการชะลอการขายด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การให้สหกรณ์เก็บสต๊อก การช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน และเร่งการส่งออกทั้งแบบ จีทูจีกับจีน เพิ่มจาก 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน และการเจรจา MOU กับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตาข้าวไทย นอกจากนี้ยังเตรียมผลักดันการปรับตัวของเกษตรกรสู่การปลูกพืชคุณภาพสูง (เช่น GI และพืชที่ตลาดต้องการ) เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันโลกและสภาพภูมิอากาศ

- กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยผลสำเร็จของการส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ในปี 2568 อย่างครบวงจร ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนไทย ด้วยคุณภาพ อัตลักษณ์และเรื่องราว ดึงดูดใจผู้บริโภค โดยสินค้า GI ที่ทำรายได้ติด Top 10 ในปี 2568 ได้แก่ 1) ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด (ตราด) 11,047 ล้านบาท 2) ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา 6,661 ล้านบาท 3) ทุเรียนหมอนทองระยอง 4,886 ล้านบาท 4) ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ 4,812 ล้านบาท 5) มะพร้าวทับสะแก (ประจวบคีรีขันธ์) 3,776 ล้านบาท  6) เหล้าแป้ (แพร่) 3,632 ล้านบาท 7) มะขามหวานเพชรบูรณ์ 3,363 ล้านบาท 8) หอมแดงศรีสะเกษ 2,882 ล้านบาท 9) กุ้งก้ามกรามบางแพ (ราชบุรี) 2,570 ล้านบาท และ 10) ทุเรียนบางนรา (นราธิวาส) 2,544 ล้านบาท

            6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย

- สนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา) พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ การใช้เครื่องหมายรับรองคุณภาพ เช่น Thailand Trust Mark และ Thai SELECT รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์ม “MOC ” เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้ SMEs เข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐได้ง่ายขึ้น

- กรมการค้าต่างประเทศ จัดสัมมนาเสริมแกร่งผู้ประกอบการไทยภาคใต้ 

- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ

7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี

            เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมถึงการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์อุปสงค์อุปทานของสินค้า เพื่อให้มาตรการทางการค้าทันต่อสถานการณ์ และขยายช่องทาง e-Commerce สำหรับสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดสากล

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ