เล่าเรื่อง…เมืองอุบล : อนุสาวรีย์พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี)


พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) นามเดิม ท้าวธรรมกิติกา เกิด ณ เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช (จังหวัดอุบลราชธานี) ในปี พ.ศ. 2357 จุลศักราช 1176 เป็นบุตรของ พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (กุทอง) เจ้าเมือง อุบลราชธานีคนที่ 4 กับ หม่อมหมาแพง มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 4 คน คือ นางคำชาว, ท้าวโพธิสาราช (เสือ), ท้าวสีฐาน (สาง) และท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) เป็นหลานของ เจ้าพระประทุม วรราชสุริยวงษ์ ผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช และเป็นเหลนของ เจ้าพระตา เจ้าผู้ครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภู) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก เจ้าปางคำ แห่งราชวงศ์เชียงรุ่ง สิบสองปันนา
ชีวิตครอบครัว: พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) มีภรรยา 3 คน และบุตร 15 คน สืบเชื้อสาย เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (คำผง) ผ่านทางสายสกุล “สุวรรณกูฏ” ซึ่งสกุล นี้สืบต่อมาจาก พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ 4 บุตรในเจ้าพระประทุมวร ราชสุริยวงษ์ โดย รองอำมาตย์เอกพระบริคุฎคามเขต (โง่นคำ สุวรรณกูฏ) เป็นผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล
ราชการและงานปกครอง: พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) หรือ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) ท่านเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความเข้าใจในระเบียบราชการธรรมเนียมการเมืองการปกครอง จนเป็นที่ไว้วางใจของ พระพรหมราชวงศา (กุ ทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช ตลอดจนคณะกรมการเมืองว่า มีความเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าเมืองปกครองอาณาประชาราษฎร์ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขได้
ปี พ.ศ. 2402 พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช เห็นว่าใน จำนวนบุตรทั้งหมดนั้น มีหลายคนซึ่งพอจะเป็น เจ้าเมืองอุปฮาด (อุปราช) ราชวงศ์ ราชบุตร ทำราชการให้แก่บ้านเมืองได้ จึงได้มอบหมายให้ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี), ท้าวโพธิสาราช (เสือ), ท้าวสีฐาน (สาง) ซึ่งทั้ง 3 คนนี้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน และ ท้าวขัติยะ (ผู) ซึ่งเป็นน้องต่างมารดา ร่วมปรึกษาหารือราชการงาน เมือง เมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้วจึงสั่งให้จัดหาเรือและคนชำนาญร่องน้ำเพื่อหาสถานที่สร้างเมืองใหม่ โดยล่องเรือไปทางทิศตะวันออกตามลำแม่น้ำมูล จนถึงบริเวณบ้านสะพือ ได้จอดเรือและข้ามไปสำรวจภูมิประเทศฝั่งขวาแม่น้ำมูล ทิศตะวันตกของแก่งสะพือ เมื่อเห็นว่าภูมิสถานเหมาะแก่การตั้งเมืองได้ จึงทำการบุกเบิกป่า ตั้งแต่บริเวณแก่งสะพือไปถึงห้วยบ่งโง้ง ให้พอที่จะตั้งบ้านเรือนได้ 30-80 ครอบครัว พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้น จึงได้จัดราษฎรเข้าไปอยู่หลายครอบครัว พร้อมทั้งให้ ท้าวไชยมงคล และ ท้าวอุทุมพร ผู้เป็นญาติลงไปอยู่ด้วย แล้วตั้งชื่อว่า บ้านกว้างลำชะโด เนื่องจากบ้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน ใจกลางของ 2 ลำห้วย คือ ห้วยกว้าง อยู่ทางทิศตะวันออกและ ห้วยชะโด อยู่ทางทิศตะวันตก
ปี พ.ศ. 2406 เมื่อ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) ได้ตั้ง บ้านกว้างลำชะโด ขึ้นแล้ว ต่อมามีราษฎรเข้ามา อาศัยอยู่หนาแน่นขึ้นพอที่จะตั้งเป็นเมืองได้ จึงจัดสร้างศาลาว่าการขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลแล้วรายงานไปยัง พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช ซึ่งเจ้าเมืองอุบลราชธานีก็เห็นชอบ ด้วย จึงมีใบบอกกราบเรียนไปยัง เจ้าพระยากำแหงสงคราม เจ้าเมืองนครราชสีมา เพื่อนำความกราบบังคม ทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยก บ้านกว้างลำชะโด เป็น เมืองพิมูลมังษาหาร เมื่อวันอาทิตย์ แรม 11 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน เบญจศก จุลศักราช 1225 ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2406 และโปรดเกล้าตั้ง ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) เป็น พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) เจ้าเมืองพิมูลมังษาหารคนแรก และให้ ท้าวโพธิสาราช (เสือ) เป็นอุปฮาด (อุปราช), ให้ ท้าวสีฐาน (สาง) เป็นราชวงศ์, ให้ ท้าวขัติยะ (ผู) เป็นราชบุตร ขึ้นกับเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช

พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพิมูลมังษาหารคนแรก ในขณะมีอายุ 49 ปี ท่านมี ความมุ่งมั่นตั้งใจสามารถสร้าง บ้านกว้างลำชะโด จนเป็น เมืองพิมูลมังษาหาร และได้วางรากฐานต่างๆ ไว้ให้ ชาวเมืองพิมูลมังษาหาร จนเป็นดังเช่น “เมืองพิบูลมังสาหาร” ที่มีความเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันนี้
ปี พ.ศ. 2430 พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ณ เมืองพิมูลษาหาร (อำเภอพิบูลมังสาหาร) สิริอายุได้ 73 ปี ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพิบูลมังสาหารเป็นเวลา 25 ปี
นับเป็นบรรพบุรุษที่มีคุณูปการต่อบ้านเมือง ร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้ และเป็นแบบอย่างในการปกครองบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง
ลำดับการสืบต่อการปกครองบ้านเมืองมี พระบำรุงราษฎร์ (ผู) เป็นเจ้าเมืองปกครองต่อมา จนถึงยุค เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ตราพระราชบัญญัติการปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440) ขึ้น ทางราชการจึงได้ลดฐานะ เมืองพิมูลมังษาหาร เป็น อำเภอพิมูลมังษาหาร ขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี และเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเจ้าเมืองเป็น นายอำเภอ และในปี พ.ศ. 2482 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอพิมูลมังษาหารอีกครั้ง เป็น อำเภอ พิบูลมังสาหาร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...
อำเภอพิบูลมังสาหาร ได้จัดงานสืบสานตามประเพณี โดยจัดพิธีบวงสรวงสักการะอนุสาวรีย์ มีการจัดขบวนแห่เครื่องสักการะและการแสดงศิลปวัฒนธรรม สร้างความรัก ความสามัคคีตลอดมา
……
- ปัญญา แพงเหล่า/รายงาน
21 สิงหาคม 2568