ท้องถิ่นไทย: ความหวัง ความรู้ และกฎหมาย-ทางรอดของประเทศไทยต้องเริ่มที่ฐานราก…

ช่วงที่ 1: ความหวังที่ชื่อว่า...ท้องถิ่นในช่วงชีวิตราชการของผม ผมเคยผ่านหลายเวที ทั้งระดับอำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ แต่หากถามว่า “จุดไหนที่ผมรู้สึกว่าประเทศไทยมีโอกาสรอดและเปลี่ยนได้จริง”
คำตอบของผมคือ…“ท้องถิ่น”
เพราะที่นั่น คือจุดที่ประชาชนยังเข้าถึง คือจุดที่เสียงของชาวบ้านยังดังกว่าเสียงโฆษณา
คือจุดที่น้ำประปาไม่ไหล ไฟไม่ติด ถนนเป็นหลุม คือ “ของจริงที่คนเรียกร้อง” และถ้าจุดนั้น...มีคนที่เข้าใจ มีคนที่ซื่อสัตย์ มีคนที่ใช้กฎหมายเป็นเข็มทิศ มันจะไม่ใช่แค่ตำบลหนึ่งอำเภอหนึ่ง แต่มันจะกลายเป็น “แรงกระเพื่อมของประเทศ” จากล่างขึ้นบน
หลายคนมองว่า… การเมืองท้องถิ่นเป็นเวทีเล็ก ไม่สำคัญเท่ารัฐสภา แต่ในมุมมองของผม ผู้เคยเป็นทั้งข้าราชการระดับจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล และทนายความในคดีการเมือง ผมกล้าพูดว่า…“ถ้าท้องถิ่นล่ม…ประเทศจะร่วง” เพราะท้องถิ่นคือที่ที่คนเชื่อมต่อกับรัฐอย่างใกล้ชิดที่สุดเมื่อผมเป็นสมาชิกสภาเทศบาลนครอุบลราชธานี (ประเภทแต่งตั้ง) ผมเห็นว่าแม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เราก็มีหน้าที่ “รับฟังเสียงประชาชน” และใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ เราไม่ใช่ฝ่ายบริหาร แต่คือ “คนกลั่นกรองงบประมาณ” คนที่ต้องถามคำถามก่อนเงินจะถูกใช้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเข้าใจว่า “การเมืองท้องถิ่นที่ดี =เมืองที่โปร่งใส ชาวบ้านมีความสุข”
ผมเคยพูดในที่ประชุมว่า “ส.ท. ที่ดี ไม่ใช่แค่คนกล้าพูดในสภา แต่ต้องกล้ารับฟังเสียงนอกสภา
และเดินอยู่กับชาวบ้านได้อย่างภูมิใจ”ความหวังของประเทศไทย จึงไม่ได้เริ่มจากผู้ว่าฯรัฐมนตรี หรือ ส.ส. แต่มันเริ่มจาก ส.ท. คนหนึ่งในตำบลที่ตั้งใจทำงานด้วยใจจริงและนั่นคือเหตุผลที่ผมเขียนบทความชุดนี้ เพื่อสะท้อนว่า “ความยั่งยืนของประเทศไม่ได้อยู่บนยอดพีระมิด แต่ฝังรากอยู่ในผืนดินของชุมชน” วรรคทอง: “หากเราจะเปลี่ยนประเทศไทย ต้องเริ่มจากท้องถิ่นที่เข้มแข็ง และหากเราจะมีประชาธิปไตยที่มั่นคง…ต้องเริ่มจาก ส.ท. ที่มีหัวใจรับใช้ประชาชน ไม่ใช่แค่รับตำแหน่ง”

ช่วงที่ 2: ความรู้ที่เปลี่ยนชีวิตผู้สมัคร…และชีวิตของประชาชน
หลายปีที่ผ่านมา ผมเห็นผู้สมัครหลายคนเดินเข้าหาผม… ไม่ใช่ในวันหาเสียง แต่หลังจากการเลือกตั้งจบลงบางคนมาด้วยความสับสน บางคนมาด้วยความเสียใจ และบางคน…มาด้วยคำพิพากษาในมือ เสียงแบบนี้…ผมเจอมาหลายครั้งในฐานะทนายความ
ปัญหาใหญ่ของการเมืองท้องถิ่นไม่ใช่ความชั่วร้ายของผู้สมัคร
แต่คือ…การขาดความรู้และความเข้าใจในกฎหมายเจตนาดี…ถ้าไม่มีหลักกฎหมายรองรับ มันก็กลายเป็นช่องว่างที่พาเราตกเหว
ตัวอย่างสนามจริง:
– แจกเงินช่วยงานศพ → ช่วงก่อนเลือกตั้ง → ถูกเพิกถอนสิทธิ
– ใช้รถเทศบาลให้คนถ่ายรูปลงเพจ → ถูกชี้ว่าผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง
“ความรู้กฎหมาย ไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้น แต่มันทำให้เรา…ไม่ต้องเสียใจทีหลัง”
และไม่ใช่แค่ผู้สมัครที่ต้องรู้ ประชาชนเองก็ต้องรู้ เพื่อไม่ตกเป็นเครื่องมือของระบบแบบเก่า
“การเมืองที่ดี เริ่มจากผู้มีความรู้ และประชาธิปไตยที่มั่นคง เริ่มจากประชาชนที่เข้าใจกฎหมาย”
วรรคทอง: “เจตนาดีจะพาเราเริ่มต้นได้ แต่ความรู้เท่านั้น…ที่จะพาเรารอดตลอดเส้นทาง”
ช่วงที่ 3: กฎหมายและธรรมาภิบาล คือเส้นเลือดของอนาคตท้องถิ่นไทย
การเมืองท้องถิ่นจะเปลี่ยนประเทศได้หรือไม่? ผมเชื่อว่า…เปลี่ยนได้แน่นอน แต่เงื่อนไขคือ
ต้องมีรากฐานของ “กฎหมาย” และ “ธรรมาภิบาล” ที่ชัดเจน
“เพราะอำนาจที่ไม่มีกรอบกฎหมาย…จะพาคนเก่งกลายเป็นคนผิดและอำนาจที่ไม่มีธรรมาภิบาล…จะพาคนดีไปอยู่ผิดฝั่งของประวัติศาสตร์”ธรรมาภิบาลจึงไม่ใช่คำหรูหราในตำรา แต่มันคือเส้นเลือดหล่อเลี้ยงความไว้วางใจ
หากผู้บริหารเริ่มต้นจากการ “ยึดหลัก” แม้ไม่ได้เสียงปรบมือทันที แต่จะได้ “ศรัทธา” ที่ยืนยาวกว่ากระแสใดๆ
“สิ่งที่ปกป้องชีวิตราชการหรือการเมืองท้องถิ่นให้รอด ไม่ใช่การมีคนคอยช่วย แต่คือการที่เราวางรากฐานถูกตั้งแต่แรก ด้วยกฎหมายและธรรมาภิบาล”
ประเทศไทยไม่ต้องการคนเก่งที่สุด แต่ต้องการคนที่ใช้กฎหมายอย่างถูกต้องที่สุด และซื่อสัตย์ต่อประชาชนในทุกบาททุกสตางค์ของงบประมาณ
บทสรุป: เมื่อท้องถิ่นเปลี่ยน → ประเทศก็จะเปลี่ยน
วรรคทอง: “คนดีคนเดียวเปลี่ยนชุมชนไม่ได้แต่ถ้าเขายืนหยัดในท้องถิ่น…เขาจะเป็นไฟส่องทางให้คนรุ่นใหม่ได้เดินตาม และไฟดวงนั้น จะไม่มีวันดับถ้ามันสว่างจากหัวใจที่ซื่อสัตย์จริง”
……….
- ฤทธิสรรค์ เทพพิทักษ์
อดีตนายอำเภอ/ปลัดจังหวัด/รองผู้ว่าราชการจังหวัด /รายงาน