เล่าเรื่อง เมืองอุบล EP.20 : เส้นทาง นักปราชญ์ “ทองใส ทับถนน” ครูภูมิปัญญาไทย ศิลปินพื้นบ้าน (พิณอิสาน)
ประวัติ : นายทองใส ทับถนน เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่บ้านหนองกินเพล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรของ นายปิ่น ทับถนน กับ นางหนู ทับถนน ผู้เป็นบิดานั้นมีความสามารถโดดเด่นด้านหมอลำพื้นบ้าน และการแสดงหนังบักตื้อ (หนังปราโมทัย) และนายปิ่น ทับถนน ยังเป็นลูกศิษย์ของ หมอลำทองคำ เพ็งดี ผู้มีชื่อเสียงด้านลำกลอนในสมัยนั้น ทองใส ทับถนน เริ่มฝึกดีดพิณเมื่ออายุ 4 ปี โดยมี ครูบุญ บ้านท่างอย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้ฝึกสอนการดีดพิณเป็นคนแรก จนอายุได้ 8 ปี จึงได้เล่นพิณประกอบคณะหมอลำของนายปิ่น ทับถนน ผู้เป็นพ่อ จากนั้นจึงได้เรียนรู้ลายพิณโบราณกับ ครูบุญชู โนนแก้ว แห่งบ้านโนนสังข์ อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ศิลปินมือพิณพื้นบ้านตาพิการ เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ตระเวนเล่นดนตรีกับคณะหมอลำปิ่น ทับถนน เรื่อยมา
ในปี พ.ศ. 2511 เมื่ออายุได้ 21 ปี ได้เข้าประจำการเป็นทหารเกณฑ์ที่กองพันทหารปืนใหญ่ ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จึงได้มีโอกาสเป็นนักดนตรีวงดนตรีสากลประจำกองพันทหารปืนใหญ่ ได้นำพิณมาประยุกต์กับดนตรีสากลสมัยใหม่ และเรียนรู้การเล่นดนตรีตามแบบสากลนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้านครอบครัว : นายทองใส ทับถนน ได้สมรสกับนางประมวล ทับถนน (สกุลเดิมจันไตร) มีบุตรธิดา 3 คน ได้แก่
1. นางพิณทอง มณีเนตร
2. นายสีแพร ทับถนน
3. นางบุญสวย ทับถนน
ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 163 หมู่ที่ 8 บ้านหนองกินเพล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
การเข้าสู่วงการศิลปิน : หลังพ้นเกณฑ์ทหารในปี พ.ศ. 2513 ครูทองใส ทับถนนจึงกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดและได้สมัครเข้าเป็นนักดนตรีคณะ ลูกทุ่งอีสาน ของ นายนพดล ดวงพร ภายใต้ฉายา ทองใส หัวนาค ทั้งนี้เพราะมีพิณแกะสลักเป็นรูปพญานาคเป็นเครื่องดนตรีคู่กาย
ความทรงจำในชีวิต : พ.ศ. 2514 นพดล ดวงพร ได้รับเชิญให้นำวงดนตรีลูกทุ่งอีสานประยุกต์ไปแสดงถวายหน้าพระที่ประทับที่เขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ครูนพดล ดวงพร ร่วมกับครูทองใส ทับถนน ได้ถวายพิณแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตรัสว่า “เพชรนี้เป็นเพชรน้ำเอก” ของเครื่องดนตรีอีสาน ยังความปลื้มปิติแก่นพดล ดวงพร และชาวคณะเป็นอย่างมาก จึงได้เปลี่ยนชื่อวงดนตรี ลูกทุ่งอีสาน พิณประยุกต์ มาเป็นวง เพชรพิณทอง ซึ่งถือว่าเป็นนามมงคลอันเกิดจากการถวายพิณในครั้งนั้น
ต่อมาได้นำเอาคอนแทรกไฟฟ้ามาประกอบกับพิณ และถือว่าเป็นพิณไฟฟ้าตัวแรกของเมืองไทย และได้เล่นดนตรีกับวงดนตรีเพชรพิณทองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 ตลอดมา จนกระทั่งมีการยุบเลิกวง
รางวัลและการเชิดชูเกียรติ นายทองใส ทับถนน มีผลงานหลากหลาย และได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
@ปี พ.ศ. 2543 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินดีเด่นสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีอีสาน) จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
@ปี พ.ศ. 2544 ได้รับประกาศเกียรติคุณผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมวัฒนธรรมดีเด่น จากสำนักพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เขตการศึกษา 10
@ปี พ.ศ. 2545 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปกรรม (ดนตรีพื้นบ้าน-พิณอีสาน) รุ่นที่ 2 ปี พ.ศ. 2545
@ วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ชั้นเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ (ร.ง.ภ.)
@ วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2547 ได้รับรางวัลสุดยอดศิลปินอีสาน ประเภทพิณอีสาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
@ พ.ศ. 2548 ได้รับปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ดนตรีศึกษา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
@ ปี พ.ศ. 2555 ได้รับรางวัลศิลปินมรดกอีสาน สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีพื้นบ้าน (พิณ)
@ ปี พ.ศ. 2555 จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น [3]
@ ปี พ.ศ. 2556 ได้รับรางวัลสุกรีเจริญสุข ผู้ทำดีความดีเพื่อสังคม สาขาการส่งเสริมดนตรี
@ ปี พ.ศ. 2558 ได้รับยกย่องเชิดชูเป็นมูนมังเมืองอุบลราชธานี สาขาศิลปะการแสดง
@ ปี พ.ศ. 2562 ได้รับรางวัลพระธาตุนาดูนทองคำ
@ ปี พ.ศ. 2562 รางวัล บุคคลดีเด่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สาขาทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
@ ปี 2566 ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม รางวัลเพชรธานี สาขาดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
@ ผลงานลายพิณมากกว่า 50 ชุด และถ่ายทอดให้ทายาทและลูกศิษย์อีกมากมาย เช่น ชุดปู่ป๋าหลาน / ชุดลำเพลินโบราณ / ชุดแข่งเรือยาว / ชุดบุญกัณฑ์หลอน / ชุดแห่บุญผะเหวด
นับเป็นศิลปิน (พิณอิสาน) ที่มีทักษะและพรสวรรค์ ทั้งการประยุกต์พิณธรรมดาให้เป็นพิณไฟฟ้า และประยุกต์ลายพิณที่มีความไพเราะ จังหวะทำนองทุกคนฟังแล้วมีความสุขประทับใจไม่รู้ลืม.
……..
- ปัญญา แพงเหล่า/รายงาน
20 มีนาคม 2567