วิชาแพะ...หนุ่มสหกรณ์การเกษตร งง! สอนตนทำสินเชื่อทุกขั้นตอน สู้ทุ่มเททำงานตามสั่งโดยสุจริต สุดท้ายโดนไล่ออก!!!

   เมื่อ : 20 พ.ย. 2566

          18 พฤศจิกายน 2566 สิบเอกภัทรพงศ์ บุสบาล เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อขอความช่วยเหลือ ณ สภ.นาเยีย จ.อุบลราชธานี กรณีสหกรณ์การเกษตรนาเยีย จำกัด ให้ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันการทำงานโดยมิชอบ และยื่นคำอุธรณ์ต่อ สหกรณ์การเกษตรนาเยีย จำกัด กรณีถูกคำสั่งลงโทษเลิกจ้างแบบไม่ทันตั้งตัว ให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อ สหกรณ์การเกษตรนาเยีย จำกัด จากคำสั่งของคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขององค์กร โดยไม่ได้รับคำชี้แจงเป็นหนังสือคำสั่งและรายละเอียดที่กล่าวหาล่วงหน้า คณะดังกล่าวอ้างเพียงว่า นายภัทรพงศ์ ได้ถูกตั้งกรรมการตรวจสอบและลงมติให้พ้นจากสภาพเจ้าหน้าที่ในทันที ไม่มีโอกาสปรึกษาทนายความเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการชี้แจงข้อเท็จจริง ทั้งๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของหัวหน้าสินเชื่อ (ผู้บังคับบัญชาโดยตรงตามคำสั่งวาระประชุมที่ สหกรณ์การเกษตรนาเยีย จำกัด)

            กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 นายภัทรพงศ์ ได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด และได้ทำงานด้วยความวิริยะอุสาหะเรื่อยมา กระทั้งประมาณวันที่ 2 สิงหาคม 2562 นายภัทรพงศ์ ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการของสหกรณ์ฯ ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อ เพราะมีการสับเปลี่ยนภายในสหกรณ์ ซึ่งนายภัทรพงศ์ก็ไม่อยากไปทำหน้าที่นี้เนื่องจากเคยได้ยินจากเจ้าหน้าที่คนก่อนว่าหน้าที่นี้เหนื่อย เพราะต้องเดินทางออกไปตรวจสอบที่ดินที่สมาชิกนำเอกสารมาจำนองหรือขอสินเชื่อ แต่มีแค่เบี้ยเลี้ยงตรวจแปลงหรือตรวจที่ดินที่สมาชิกนำมาจำนอง 

            เมื่อเป็นคำสั่งหรือรายงานการประชุมของคณะกรรมการพิจารณาแล้ว นายภัทรพงศ์ก็ไม่อาจโต้แย้งได้ มีเพียงอย่างเดียวคือลาออกจากสหกรณ์ไป แต่นายภัทรพงศ์เห็นว่าตนมีครอบครัวและบิดามารดาต้องดูแล จึงได้เข้าไปทำหน้าที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อ ซึ่งก่อนเข้าไปทำหน้าที่และครั้งแรกที่เข้าไปทำงานในตำแหน่งดังกล่าว นายภัทรพงศ์ก็ได้ขอทราบหน้าที่ว่า มีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง ทำเอกสารอะไรบ้าง และได้มีผู้จัดการคนปัจจุบันคือ นายA (นามสมมุติ) และหัวหน้าสินเชื่อคือ นายB (นามสมมุติ) ได้เข้ามาพูดคุยและแนะนำสั่งการให้ตนทำธุรกรรมเกี่ยวกับการทำหน้าที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อ โดยให้เสนองานโดยตรงต่อหัวหน้าสินเชื่อ ซึ่งหัวหน้าสินเชื่อจะเสนอต่อผู้จัดการ และผู้จัดการจะเสนอต่อคณะกรรมการต่อไป  

            นายภัทรพงศ์ได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ งานชิ้นแรกคือ ได้รับไฟล์งานจากหัวหน้าคือ นายB ซึ่งในไฟล์ดังกล่าวมีเอกสารหลายประการในหน้าที่ที่ตนต้องจัดทำ กล่าวคือ มีเอกสารหรือไฟล์ตัวอย่างรายการสำคัญในเรื่องนี้ คือ ไฟล์ใบเสร็จการเรียกเก็บค่าเบี้ยเลี้ยงพาหนะ ที่สมาชิกมาขอสินเชื่อและเรียกเก็บกับสมาชิกที่มายื่นขอสินเชื่อ

  1. หลังจากตรวจแปลงแล้ว สมาชิกต้องนำเงินมาชำระค่าธรรมเนียม 500 บาท ต่อแปลง โดยใบเสร็จมีเลขที่นำเงินส่งเจ้าหน้าที่การเงิน
  2. ชำระค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ต่อแปลงไม่เกิน 1,300 บาทต่อราย ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน นำส่งหัวหน้า (นายB) โดยหัวหน้าจะมาแจ้ง ก่อนออกใบเสร็จให้เก็บรายละเท่าไหร่ ตัวอย่าง สมาชิกไปจดจำนอง 3 ราย รายละ 700 บาท รวมเป็นเงิน 2,100 บาท หัวหน้า(นายB) จะหักให้ตน 500 บาท เหลือเงิน 1,600 บาท เพื่อนำส่งหัวหน้า(นายB) หรือถ้าหากสมาชิกขอกู้เงินไปจดจำนอง 4 ราย หัวหน้า(นายB) จะแจ้งก่อนออกใบเสร็จรายละ 500 บาท เท่ากับเงิน 2,000 บาท หัวหน้า(นายB) แจ้งให้ตนหักไว้ 450 บาท ที่เหลือ 1,550 บาท นำส่งหัวหน้า(นายB) ตามปกติ
  • กรณีที่สมาชิกขอกู้เงินเป็นคณะกรรมการของสหกรณ์ หากมาจดจำนองเพื่อขอกู้เงินทุกครั้ง ผู้จัดการ(นายA) มาบอกไม่ให้เก็บกับกรรมการ แต่จะให้ไปเก็บเพิ่มยอดกับสมาชิกรายอื่น ที่ไปจดจำนองในวันเดียวกัน
  • กรณีออกใบเสร็จรับเงิน ไม่ใช่หน้าที่ของตน เคยถามหัวหน้า(นายB) เหตุใดจึงไม่ให้เจ้าหน้าที่การเงินเก็บเงินและออกใบเสร็จเอง หัวหน้า(นายB) ตอบว่า การเงินยุ่ง เลยสั่งให้ตนทำการแทน ตนก็ได้มอบเงินให้หัวหน้า(นายB) ไปทุกรายทุกครั้ง และเงินดังกล่าวหัวหน้า(นายB) บอกว่าจะนำไปให้คณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของสหกรณ์ในการไปจดจำนอง ซึ่งตนยืนยันได้จากเรื่องจริงตามเอกสารที่แนบมาด้วย

          ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าว ตนได้รับไฟล์คำสั่งการนี้จากหัวหน้าสินเชื่อ(นายB) ยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่ของตนที่เป็นปกติถูกต้อง ทำได้โดยหัวหน้าสินเชื่อเป็นผู้สั่งการและผู้จัดการยืนยัน และเมื่อออกใบเสร็จนี้ ให้ตนลงชื่อและเซ็นรับรองในเอกสารดังกล่าว โดยสมาชิกรายแรกได้เข้ามาทำสินเชื่อ ตนจำได้เป็นอย่างดีเพราะเป็นรายการทำงานในหน้าที่ของตน ซึ่งการทำหน้าที่ครั้งแรกได้มีหัวหน้าสินเชื่อเข้ามาควบคุมดูการทำงานของตน และพาตนทำเอกสาร ชี้แจงการเปิดคอมและเปิดไฟล์ออกใบเสร็จ ได้สอนตนทำเอกสารและเซ็นเอกสารตัวอย่างให้ตนดู ซึ่งเอกสารที่หัวหน้าสินเชื่อเซ็น ตนก็ได้เห็น รวมไปถึงเห็นเอกสารการออกใบเสร็จที่เป็นปัญหาทำให้ตนถูกไล่ออกจากงานนี้ เพราะทำเอกสารที่ไม่ชอบหรือไม่ถูกระเบียบ และก่อนที่ตนมาทำงานในหน้าที่นี้ หัวหน้าสิ้นเชื่อก็เคยทำหน้าที่นี้มาก่อน ทั้งเคยทำหน้าที่เช่นตนมาถึง 15 ปี ออกใบเสร็จปัญหานี้มาไม่น้อย และอาจจะมากกว่าตนเสียด้วยซ้ำ

          นายภัทรพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า ตนเชื่อโดยสุจริตใจก่อนปริ้นเอกสารและลงลายมือชื่อเอกสารใบเสร็จ เพราะหัวหน้าสินเชื่อ(นายB)มาสอนงานด้วยตนเอง อีกทั้งยังเคยออกเอกสารนี้มาก่อนตน และคณะกรรมการก็ไม่เคยดำเนินการใดๆ ต่อหัวหน้าสินเชื่อ(นายB) เป็นเหตุให้เชื่อว่าทำได้และถูกต้อง ตนจึงได้ออกเอกสารใบเสร็จดังกล่าวและทำหน้าที่นี้เรื่อยมา กระทั่งได้ทราบว่ามี เจ้าหน้าที่บัญชีของสหกรณ์ได้มาสอบถามหัวหน้าสินเชื่อ(นายB) ว่าได้เรียกเก็บเงินจากสมาชิกอีกหรือไม่ เก็บเพิ่มเท่าใด และจากนั้นก็ได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนตนคนเดียวขึ้นมา โดยไม่ตั้งกรรมการสอบสวนหัวหน้าสินเชื่อ(นายB) และผู้จัดการ(นายA)หรือผู้อื่นอีก กลับสรุปว่าตนทำผิด และให้ตนรับผิดเพียงผู้เดียวซึ่งไม่ถูกต้อง ไม่เท้าความก่อนด้วยซ้ำว่าใครสั่งงานหรือสั่งให้ทำงานออกเอกสารใดตามที่ตนได้กล่าวข้างต้น และไม่เคยรับฟังข้อเท็จจริงใดๆจากตน

          อนึ่ง เมื่อได้ตั้งกรรมการสอบสวนตน และกรรมการฯได้ยืนยันเพียงแค่ว่าตนผิดเพียงผู้เดียว ไม่ได้ตรวจสอบย้อนไปว่าตนทำหน้าที่นี้ มีผู้ใดสั่งการหรือมอบหมายการทำหน้าที่อย่างที่ตนกล่าวมาข้างต้น และการที่คณะกรรมการได้สรุปเรื่องตรวจสอบหรือสอบสวนตน ให้ตนผิดแต่เพียงผู้เดียว ตนก็เพิ่งได้ทราบจากนิติกรสหกรณ์จังหวัดที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องว่ากระทำไม่ได้ เพราะผิดระเบียบ

          เมื่อตนได้ทราบเช่นนั้น ตนรู้สึกว่าถูกหลอกให้ทำเอกสารเบิกเงินผิดระเบียบมาตั้งนาน และไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้เพราะหัวหน้าสินเชื่อ(นายB)ก็แจ้งว่าทำได้และทำมาก่อนตนถึง 15 ปี แต่สุดท้ายมาไล่ตนออกเพียงผู้เดียว โดยอ้างว่ามีรายมือชื่อตนเพียงผู้เดียวที่กระทำลงไป ไม่ได้สอบสวนย้อนไปว่า ตนได้ทำการลงไปตามคำสั่งที่ชอบหรือไม่ ซึ่งก่อนทำหน้าที่ตนเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นหน้าที่ที่ทำได้ และจากนั้นมาไล่ตนออก ทำให้ตนได้รับความเดือดร้อนโดยไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังสร้างความอับอายต่อครอบครัวญาติพี่น้องของตนเป็นอย่างมาก เสียชื่อเสียงครอบครัววงศ์ตระกูล ทำให้ตนและครอบครัวเสียหาย

          นายภัทรพงศ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ตนขอให้พิจารณาทบทวนยกเลิกคำสั่งไล่ต้นออกดังกล่าว และในการนี้ หากตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนจะร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมต่อผู้เกี่ยวข้องทุกสายงานต่อไป.

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ