“ธรรมนัส” เดินหน้าปฏิรูปกฎหมายเกษตรครั้งใหญ่ ครอบคลุม 21 ประเด็น หวังยกระดับศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลก
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการกำหนดให้ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่ไม่คล่องตัวและเป็นอุปสรรคต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ และการส่งออก โดยให้เร่งดำเนินการเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ เน้นหลักคิด “กฎหมายต้องไม่เป็นภาระ แต่ต้องเป็นเครื่องมือพาประเทศเดินหน้า” จึงได้มอบหมายให้ นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่กำกับยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งแต่งตั้ง นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คนที่ 26 เป็นประธานคณะกรรมการฯ เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีเอกภาพ และเร่งดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายทุกประเด็นให้เกิดผลจริงโดยเร็ว
สำหรับกฎหมายและระเบียบในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในด้านต่างๆ โดยมุ่งผลักดันการปฏิรูปทั้งระบบ เพื่อปลดล็อกกฎหมาย–เปิดทางเศรษฐกิจเกษตรใหม่ของไทย ดังนี้
- ด้านพืช : เดินหน้าทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผัก ผลไม้ และทุเรียนสด โดยมุ่งลดภาระที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ส่งออกและการค้าปัจจุบัน ปรับบทกำหนดโทษให้เหมาะสม และเปิดกว้างการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ส่งออกสินค้าเกษตร เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น และเพื่อไม่ให้กฎหมายล้าหลังเป็นอุปสรรคต่อโอกาสของสินค้าไทยในตลาดโลก
- ด้านประมง : ปฏิรูป 11 ประเด็นสำคัญ มุ่งสร้างระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในเรื่องหลักเกณฑ์รับรองสัตว์น้ำจากเทคโนโลยีจีโนม มาตรการลดต้นทุนอาหารสัตว์น้ำผ่านการทบทวนภาษีนำเข้า มาตรฐานน้ำแข็งเพื่อการประมงที่เป็นหนึ่งเดียวทั้งประเทศ ระบบป้องกันการปลอมแปลงเอกสารและการสวมสิทธิ พิธีการศุลกากรและเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็วขึ้น กฎรองรับระบบ Traceability สำหรับสินค้าเกษตรประมง และมาตรการคุมเข้มนำเข้าสัตว์น้ำเพื่อปกป้องผู้บริโภค ซึ่งแนวทางทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นจากประเทศคู่ค้า และยกระดับอุตสาหกรรมประมงไทยให้พร้อมแข่งขันในเวทีสากลอย่างยั่งยืน
- ด้านปศุสัตว์ : ยกระดับมาตรฐานด้วยระบบใบรับรองสุขภาพสัตว์อิเล็กทรอนิกส์ (e-AH Certificate) นิยามอาหารสุกที่ชัดเจน และ Health Certificate สำหรับสัตว์พิเศษ รองรับการค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกสินค้าปศุสัตว์เป็นไปอย่างสะดวก โปร่งใส ลดความล่าช้า และเพิ่มความเชื่อมั่นของประเทศผู้นำเข้า
มาตรการยุทธศาสตร์ เพื่อเตรียมเกษตรกรไทยเข้าสู่ยุคแข่งขันใหม่ ได้แก่
1) ระบบผู้ให้บริการภาคการเกษตร (ASP) จัดทำกรอบและมาตรฐานรองรับภาคธุรกิจผู้ให้บริการเกษตรแบบครบวงจร เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยี เครื่องจักร และบริการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม เป็นการยกระดับเกษตรไทยสู่ Smart Farming อย่างมีทิศทาง และ
2) มาตรการรองรับกฎหมาย EUDR ของสหภาพยุโรป เพื่อรักษาตลาดยุโรปซึ่งมีมูลค่าการค้าสูง โดยเดินหน้ามาตรการสำคัญ เช่น ระบบรหัสแปลงที่ดินกลางของประเทศ ระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรระดับชาติ การใช้ดาวเทียมและ AI เพื่อตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางและบริการแบบ One-stop Service เป็นต้น เพื่อให้ไทยได้รับการประเมินเป็น “ประเทศความเสี่ยงต่ำ” ตามกฎหมาย EUDR และรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
“การปฏิรูปครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการแก้กฎหมาย แต่เป็นการวางรากฐานใหม่ของความมั่นคงทางเกษตรและอาหารของไทย พร้อมยกระดับชีวิตเกษตรกรทั้งประเทศ ซึ่งการปฏิรูปทั้ง 21 ประเด็นนี้ ถือเป็นการก้าวกระโดดในการสร้างความพร้อมของภาคเกษตรไทยสู่อนาคต ไม่เพียงลดต้นทุนให้เกษตรกร แต่ยังเป็นการเพิ่มรายได้ ปรับระบบให้ทันสมัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ เปิดโอกาสใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ และผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวด้วย” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
Cr.ทำเนียบรัฐบาล