รายงานพิเศษ : การศึกษาก้าวไกล จากไทย…สู่…สปป.ลาว

   เมื่อ : 29 พ.ค. 2568

          การจัดการศึกษา และพัฒนาคุณภาพของประชาชนยุคโลกไร้พรมแดน เป็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ วิวัฒนาการด้านการศึกษาทั้งเทคโนโลยีและวิทยากรที่หลากหลาย มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างกว้างขวางทั้งด้าน เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และการศึกษา ซึ่งมีหลายประเทศได้พัฒนาก้าวหน้าไปได้ระดับหนึ่ง

            ในส่วนของประเทศไทย มีการพัฒนาประเทศชาติโดยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เป็นแม่บทในการดำเนินการ รวมทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายหลายฉบับ เป็นเครื่องมือในการบริหารจัด การให้มีระบบ และมีประสิทธิภาพในด้านการจัดการศึกษา มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอด และล่าสุดมี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ประกาศใช้ให้มีการปฏิรูปการศึกษาไทย เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคกัน มีสติปัญญา ความรู้คู่คุณธรรม สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ

            ในขณะที่ประเทศไทยกำลังปฏิรูปการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 ประเทศเพื่อนบ้าน คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้มองเห็นความสำคัญ และการพัฒนาการศึกษาของประเทศเช่นกัน กระทรวงศึกษาธิการ สปป.ลาวได้ส่งคณะทำงานด้านการศึกษา จำนวน 20 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารครู และนักวิชาการ นำโดย ท่านชมภู วิจิตรา หัวหน้าแผนกบริหารการศึกษา กรมก่อสร้างและบำรุงครู กระทรวงศึกษาธิการ มาศึกษาดูงานที่ จ.อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 1-10 มีนาคม 2542 นับเป็นคณะแรกที่ได้มาเชื่อมสัมพันธ์ด้านการศึกษากับประเทศไทย

            การศึกษาดูงานของคณะเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว ได้เข้าเยี่ยมชมการจัดกิจกรรมการเรียนสอนตามสถานศึกษาทั้งของรัฐบาลและเอกชน ตั้งแต่ระดับ อนุบาล ประถมศึกษาศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา การศึกษานอกโรงเรียน สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หลังจากเสร็จสิ้นการศึกษาดูงาน คณะนักบริหารและนักวิชาการของ สปป.ลาว ได้เชิญผู้บริหารการศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด(สปจ.) อุบลราชธานี จำนวน 60 คน เดินทางไปศึกษาติดตามผล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการจัดการศึกษาของ 4 แขวงภาคได้ของ สปป. ลาว คือ แขวงจำปาศักดิ์ แขวงอัตตะบือ แขวงเซกอง และแขวงสาละวัน

            ต่อมาระหว่างวันที่ 20-22 สิงหาคม 2544 ท่านถาวร พรมมะไลลุน ศึกษาธิการแขวงเซกอง สปป.ลาว ได้นำคณะครูอาจารย์ และนักวิชาการ จำนวน 27 คน มาศึกษาดูงานการจัดการศึกษาของ สปจ.อุบลราชธานี อีกคณะหนึ่ง 

            หลังจากนั้นระหว่างวันที่ 18-22 มีนาคม 2545 กระทรวงศึกษาธิการ สปป.ลาว ได้เชิญผู้บริหารการศึกษา และนักวิชาการจาก สปจ.อุบลราชธานี ไปเปิดการอบรมให้ความรู้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียน และเจ้าหน้าที่สำนักงานศึกษาธิการแขวงเซกอง เพราะมีความมั่นใจ และความคล้ายคลึงในเรื่องของ ภาษา วัฒนธรรม รวมทั้งสภาพความเป็นอยู่ และ วิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน

            การเดินทางไปเปิดอบรมแนวทางการศึกษาใน สปป.ลาวครั้งนั้น นายระลึก ธานี ผอ.ปจ.อุบลราชธานี ได้มอบหมายให้ นายวีระชัย ศรีเมือง หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ สปจ.อุบลราชธานี นายเสกสม นิกรสุข หัวหน้าฝ่ายบริการการศึกษา นายไพบูลย์ เพิ่มพูน หัวหน้าฝ่ายบริการทางการศึกษา นายพัฒนพงษ์ สายสมาน ศึกษานิเทศก์ นายปัญญา แพงเหล่า นักประชาสัมพันธ์ พร้อมด้วย นายชาลี กุลเกษ พนักงานขับรถยนต์รวม 6 คน เป็นตัวแทนของนักการศึกษาไทยจาก จ.อุบลราชธานี ซึ่งนับเป็นคณะวิทยากรชุดแรกของประเทศไทย ถ่ายทอดความรู้ด้านวิชาการให้กับ สปป.ลาว 

            สำหรับสาระสำคัญที่ดำเนินการอบรม เป็นไปตามความต้องการของแขวงเซกอง ที่จะให้ผู้บริหารโรงเรียน ครู อาจารย์ ได้มีความรู้ความเข้าใจในด้านการบริหารจัดการ และเน้นไปที่ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของไทย การผลิตสื่อการเรียน การสอน การจัดสภาพแวดล้อม การจัดขึ้นเรียน และการประชาสัมพันธ์กับชุมชน อีกส่วนหนึ่งเป็นการอบรมความรู้พื้นฐานคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ทางวิทยากรยังสาธิตการผลิตสื่อ และเทคนิคการสอนแบบผสมผสานหรือบูรณา การให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพของโรงเรียนแต่ละแห่งของ สปป.ลาว อีกด้วย

            สำหรับข้อมูลพื้นฐานและสภาพทั่วไปของแขวงเซกอง ซึ่งเป็นแขวงที่ตั้งใหม่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2518 (1975) โดยแยกออกจากแขวงสาละวัน เมื่อปี พ.ศ.2527 มีฐานะเทียบเท่าจังหวัดของประเทศไทย และมีเมือง (อำเภอ) ในปกครอง 4 เมือง คือ ท่าแตง ละมาม ดักจึง และกะลืม ปัจจุบันมี ท่านคำบุญ ด้วงปัญญา เป็นเจ้าแขวง และ ท่านบัวเลย จันลังคำ เป็นรองเจ้าแขวง มีประชากรจำนวน 74,897 คน เป็นชาย 34,249 คน หญิง 40,048 คน มีครอบครัวยากจน จํานวน 12,964 ครัวเรือน 

            การประกอบอาชีพส่วนใหญ่ ทำไร่ ทำสวน และหาของป่า ในจำนวนนั้น ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ รวม 10 เผ่า กระจายกันอยู่ทั้งที่ราบและตามภูเขา คือ เผ่าตะเสียง กะตู แงะ อาลัก ลาวี ตริว ตะกุ้ง ส่วย แยะ และ กะต้อง ดังนั้นแขวงเซกองจึงถือเป็นดินแดนที่มีภาษาพูดมากที่สุดของลาวตอนได้

            ด้านการศึกษา แขวงเซกอง มีโรงเรียนประถม ไม่สมบูรณ์ (สอน ป.1-3) 128 โรง ประถมสมบูรณ์ (สอน ป.1-5) 41 โรง โรงเรียนมัธยม 9 โรง ส่วนบุคลากรทางการศึกษาทั้งแขวงมีจำนวน 600 คน เป็นชาย 443 คน และหญิง 256 คน เป็นตำแหน่งในสายบริหาร 126 คน สายผู้สอนระดับอนุบาล 18 คน ระดับประถมฯ 440 คน และสอนมัธยมฯ 115 คน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 15,353 คน เป็นนักเรียนชาย 8,610 คน นักเรียนหญิง 6,743 คน เป็นระดับอนุบาล 190 คน ประถมฯ 12,495 คน และมัธยมฯ 2,152 คน ซึ่งโรงเรียนจะกระจายอยู่ตามหมู่บ้าน ตามชนเผ่าต่างๆ ทั้งบริเวณ ริมฝั่งแม่น้ำ เชิงเขา ค่อนข้างกันดาร การคมนาคมไม่สะดวก ครูอาจารย์ยังประสบปัญหาความขาดแคลนหลายด้าน รวมทั้งการดำรงชีวิตช่วยเหลือตัวเอง ในระหว่างปิดภาคเรียนจะต้องประกอบอาชีพทำมาหากิน และประหยัด

            กระทรวงศึกษาธิการของ สปป.ลาว มีความพยายามที่จะพัฒนาคนในประเทศ โดยใช้การศึกษาเป็นพื้นฐาน และได้กำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่า ภายในปี 2020 จะสามารถจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนได้ถึง 6 ปี จึงได้เร่งการผลิตครู และจัดตั้งโรงเรียนให้ครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

            การจัดส่งบุคลากรทางการศึกษามาศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนการส่งบุคลากรบางส่วน เข้ามาศึกษาเรียนต่อในระดับ ปริญญาตรี และปริญญาโท จึงเป็นกระบวนการหนึ่ง ที่จะนำความรู้กลับไปพัฒนาการศึกษาของประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

        …………..

  • ปัญญา แพงเหล่า/รายงาน

       นสพ.มติชน 10 เมษายน 2545