ชีวิตหลังเครื่องแบบ : สู่ทนายความของประชาชน

“เกษียณราชการแล้วจะทำอะไรต่อ?”
สำหรับบางคน อาจเป็นคำถามธรรมดา แต่สำหรับผม มันคือจุดเปลี่ยนที่ลึกซึ้ง วันแรกหลังเกษียณราชการ ผมไม่ได้ตื่นมาโดยไม่มีเป้าหมาย ตรงกันข้าม ผมลุกขึ้นมาอย่างมั่นใจ ด้วย “ใจดวงเดิม” ใจที่เคยนั่งอยู่ในห้องประชุมหมู่บ้าน ห้องร้องทุกข์ศูนย์ดำรงธรรม หรือศาลาประชาคม วันนี้…ผมย้ายมาอยู่ใน “ห้องพิจารณา” ในบทบาทใหม่—ทนายความ
ผมไม่ได้เป็นแค่ “ผู้รู้กฎหมาย” แต่เป็น “ผู้เข้าใจคน” ที่ผ่านเวทีปกครองระดับอำเภอ จังหวัด และภาคสนามมาแล้ว
บทบาทใหม่ : ทนายความที่ทำมากกว่าแค่ขึ้นศาล
หลังจากเปลี่ยนจาก “ข้าราชการประจำ” มาเป็น “นักกฎหมายอาชีพ” ผมได้มีโอกาสทำงานกับทุกฝ่ายในกระบวนการยุติธรรม ทั้งอัยการ ผู้พิพากษา ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ในศูนย์ดำรงธรรมต่างๆ และนี่เองที่เปิดโลกใหม่ของการบูรณาการกฎหมายให้ “ไม่ใช่แค่คำพิพากษา” แต่เป็น “ทางออกของชีวิตจริง”
เมื่อคุณยืนอยู่ในฐานะนายอำเภอ คุณจะรู้ว่าปัญหาของประชาชนไม่ได้มีแค่กฎหมาย แต่มีชีวิต ความจน ความไม่รู้ ความกลัว และบ่อยครั้งคือ “การหมดศรัทธาในรัฐ” ดังนั้น การจะทำหน้าที่ทนายให้คนเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ร่างคำร้อง แต่ต้อง ฟังให้เข้าใจหัวใจเขาก่อน
กฎหมายที่ดีต้องไม่แข็งกระด้าง
หลายคดีที่ผมได้รับ เป็นคดีที่ “ไม่น่าเป็นคดี” เลยด้วยซ้ำ
แค่หาคนกลางมานั่งคุย—ปัญหาก็จบแล้ว
แค่มีคนอธิบายกฎหมายให้ชัด—คู่กรณีก็เข้าใจกัน
แค่ยอมถอยกันคนละก้าว—ก็ไม่ต้องลากกันขึ้นโรงขึ้นศาล
ผมจึงเชื่อมั่นว่า “ศูนย์ดำรงธรรม” และ “การไกล่เกลี่ยประนีประนอม” คือหัวใจของกระบวนการยุติธรรมในระดับรากหญ้า และวันนี้ ในฐานะทนาย ผมก็ยังนำแนวคิดเดียวกันนี้มาใช้กับทุกคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง อาญา ครอบครัว หรือมรดก ผมพยายามหาทางพูดคุยก่อนพาเข้าสู่กระบวนการ เพราะการชนะในศาล…ไม่ได้หมายถึงการชนะในใจคน
แม้มีทางเลือก…แต่ผมเลือกทางนี้
ในช่วงเปลี่ยนผ่านหลังเกษียณราชการ ผมไม่ได้ไร้ทางเลือก ตรงกันข้าม…ผมได้รับการชักชวนจากเพื่อนหลายคนที่เคยทำงานร่วมกันมานาน บางคนเป็นถึง ตุลาการศาลปกครอง ก็ชวนให้ผมไปสมัครสอบ
บางคนถามตรงๆ เลยว่า
“ทำไมพี่ไม่ไปเป็นตุลาการศาลปกครองล่ะ?”
คำถามเหล่านั้น ผมรับฟังด้วยความเคารพ แต่คำตอบของผมก็ตรงไปตรงมาอย่างจริงใจเสมอ…
“เปล่าหรอกครับ…ผมอยู่ในระบบราชการมานานแล้ว วันนี้ผมอยากเป็นทนายความที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยตรง”
ผมไม่ได้อยากมีอำนาจมากขึ้น ไม่ได้อยากมีตำแหน่งสูงขึ้น แต่ผมอยาก “ใกล้ประชาชนให้มากขึ้น”
อยากฟังเขาด้วยหูของคนที่ไม่มีเครื่องแบบ
อยากช่วยเขาด้วยมือของคนที่มีอิสระในวิธีการ
และอยากยืนข้างเขาในวันที่เขากำลังถูกความอยุติธรรมทับถม
นี่คือการเลือกที่ผมภาคภูมิใจ แม้มันจะไม่ได้มีเครื่องหมายหรือตำแหน่งเป็นเครื่องยืนยัน
แต่มันมี “เสียงขอบคุณ” ของชาวบ้าน เป็นรางวัลที่ผมได้รับอยู่ทุกวัน
กฎหมายที่มีหัวใจ ต้องรู้ว่าคนเจ็บตรงไหน
ประสบการณ์จากชีวิตนายอำเภอทำให้ผมเข้าใจว่า คนที่มีปัญหากฎหมายจำนวนมาก ไม่ได้ต้องการให้ใครมายกตัวบทมาต่อว่า เขาต้องการแค่คนที่ ยื่นมือให้เขากล้าข้ามความกลัว ผมจึงเชื่อมั่นเสมอว่า ทนายความไม่ใช่แค่คนที่ว่าความให้ชนะ แต่คือคนที่ช่วยให้ผู้ถูกทอดทิ้ง “กลับมารู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิในสังคมนี้อีกครั้ง”
บทส่งท้าย : เกษียณแล้ว…แต่หัวใจยังทำงานไม่หยุด
ชีวิตหลังเกษียณของผมไม่ได้เงียบเหงา กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ยังต้องช่วยเหลือ แก้ไข ปรับความเข้าใจ และสร้างศรัทธา และผมเชื่อว่า…ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งไหน หากหัวใจยังยืนข้างประชาชน กฎหมายในมือคุณจะมีความหมายเสมอ เหมือนภารโรงใน NASA ที่บอกว่า
“เขากำลังส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์”
ผมก็เชื่อเช่นนั้น…เพราะแม้ผมจะเป็นแค่ทนายคนหนึ่ง แต่ผมกำลังพาประชาชนให้ข้ามผ่านความอยุติธรรม และกลับมายืนด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อีกครั้ง
- ฤทธิสรรค์ เทพพิทักษ์
อดีตนายอำเภอ ปลัดจังหวัด
รองผู้ว่าราชการจังหวัด
และปัจจุบัน ทนายความ
3 พฤษภาคม 2568